This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ระยะมะเร็ง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ระยะมะเร็ง แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ทุเรียนเทศ



สวัสดีครับท่านผู้อ่านและติดตาม blog ทุกๆท่าน ต้องขออภัยด้วยครับที่ผมห่างหายจาก blog แห่งนี้ไปหลายปีด้วยปัจจจัยหลายๆด้าน ประกอบกับมีอาชีพอื่นที่ต้องทำ วันนี้ก็นำบทความดีๆเกี่ยวกับ ทุเรียนเทศ มาฝากกันครับ เมื่อหลายเดือนก่อน ทั้งข่าวทีวีและอินเตอร์เน็ต มีข่าวดังพาดหน้าหนึ่งเกือบทุกๆช่องทุกๆฉบับเกี่ยวกับ ทุเรียนเทศ สามารถบรรเทาและรักษาโรคมะเร็งได้ (ว้าว ดีมากเลย) ผมขอหยิบบทความจากหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งมานำเสนออย่างนี้หนะครับ
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า กระแสฮิตกินทุเรียนเทศ ช่วยแก้โรคมะเร็งได้นั้น เป็นความเชื่อที่ยังไม่ถูกต้อง เพราะยังไม่ปลอดภัยเต็มร้อย เนื่องจากมีผลข้างเคียงอย่างอื่นตามมาได้
จากกรณีเกิดกระแสในโลกสังคมออนไลน์ว่า ใบทุเรียนเทศสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ จนมีการนำใบทุเรียนเทศมาเสนอขายกันทางออนไลน์ในราคาสูงถึง กก.ละ 600-800 บาท และประชาชนได้สอบถามข้อมูลในเรื่องนี้จากสถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข อย่างต่อเนื่อง นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยว่า จากกรณีที่มีประชาชนสอบถามข้อมูลเรื่องสมุนไพร ทุเรียนเทศ เข้ามาที่สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กันอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีการเผยแพร่สรรพคุณของ ใบทุเรียนเทศว่าสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีกว่ายาเคมีบำบัดทางโลกออนไลน์ และมีผลิตภัณฑ์จากใบทุเรียนเทศจำหน่ายในรูปแบบต่างๆ เช่น แคปซูล ชาชง
สถาบันวิจัยสมุนไพรได้ค้นคว้ารายงานวิจัยของต่างประเทศพบว่า แม้สารสกัดจากใบทุเรียนเทศมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ สามารถเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งเต้านม ปอด ตับ ตับอ่อน และผิวหนังได้ก็ตาม
แต่ขณะเดียว กันใบทุเรียนมีสารที่เป็นพิษต่อเซลล์ประสาทของมนุษย์ด้วยเช่นกัน และผลการศึกษาในต่างประเทศ ยังพบด้วยว่าหนูทดลองที่ได้รับสารสกัดใบทุเรียนเทศในปริมาณสูงมีผลต่อการทำงานของไตอีกด้วย

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ บอกอีกว่า ฉะนั้นในขั้นนี้จึงยังไม่ควรที่จะนำใบทุเรียนเทศมาบริโภคเพื่อรักษามะเร็ง ต้องรอการศึกษาหาวิธีสกัดสารต้านมะเร็งแยกออกจากสารทำลายเซลล์ประสาทและไตให้ได้เสียก่อน ถึงจะบริโภคได้ปลอดภัย ซึ่งขณะนี้สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีแผนศึกษาวิจัยในเรื่องนี้แล้ว.

หัวข้ออื่นๆที่เกี่ยวข้องมะเร็งมดลูก,มะเร็งปากมดลูก,อาการมะเร็งมดลูก,ระยะมะเร็ง,วิธีรักษามะเร็ง,มะเร็งต่างๆ,สมุนไพรรักษามะเร็ง,อาหารต้านมะเร็ง

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รู้จักกันไหม มะเร็งตับ

มะเร็งตับ
รู้จักกันไหม มะเร็งตับ
สวัสดีครับวันที่
16 กรกฎาคม 2556 วันนี้หวยออกครับ ได้เลขอะไรเด็ดๆบ้างครับ แบ่งปันกันบ้างนะครับเลขเด็ดๆ วันนี้ทีมงานมะเร็งมดลูก มีบทความสุขภาพ ดีๆมาฝาก บทความสุขภาพ ที่ผ่านๆมาส่วนมากเล่าถึง มะเร็งมดลูกอย่างเดียววันนี้ เลยขอหยิบเรื่องราวเกี่ยวกับมะเร็งตับมาฝากครับผม ทั่วโลก จะพบมะเร็งตับ เป็นอันดับที่ 5 จากมะเร็งต่างๆที่มีและพบว่าสาเหตุการอันดับที่ 3 ของการตายด้วยโรคมะเร็ง ก็คือมะเร็งตับ
     สำหรับประเทศไทย มะเร็งตับเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ1ในผู้ชาย และอันดับ3ในผู้หญิง รองจากมะเร็งปากมดลูกและ มะเร็งเต้านมตามลำดับ สามารถแบ่งชนิดของมะเร็งตับได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. ชนิดที่เกิดกับตับโดยตรง (มะเร็งปฐมภูมิ) ในประเทศไทยพบมากมี 2 ชนิดคือ
- มะเร็งชนิดเซลล์ตับ เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุด มากกว่าร้อยละ 70-80 ของมะเร็งตับพบได้ทั่วทุกภาค
- มะเร็งชนิดเซลล์ท่อน้ำดี เป็นมะเร็งที่พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบประมาณร้อยละ 10-20%ของมะเร็งตับ
2. ชนิดที่ลุกลามมาจากมะเร็งของอวัยวะอื่น (มะเร็งทุติยภูมิ) มะเร็งที่เกิดในอวัยวะอื่นเมื่อถึงความรุนแรงระดับหนึ่งก็จะมีการกระจายมาตามหลอดเลือดหรือหลอดน้ำเหลือง แล้วมาเจริญเติบโตอยู่ในตับ เช่น มะเร็งเต้านม หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่กระจายไปยังตับ?
ในที่นี้จะกล่าวถึงมะเร็งตับปฐมภูมิชนิดที่เป็นมะเร็งเซลล์ตับเป็นหลัก เพราะพบได้บ่อยกว่ามะเร็งตับปฐมภูมิชนิดอื่นๆ ?ดังนั้นคำว่ามะเร็งตับในที่นี้จึงหมายถึง ?มะเร็งเซลล์ตับ?
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งตับ
1 มากกว่าร้อยละ 90 ของโรคมะเร็งตับพบในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง? ซึ่งปัจจัยเสี่ยงได้แก่
2 การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี? ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่พบได้บ่อยที่สุด และพบว่าหากเป็นเรื้อรังจะมีอัตราการเกิดมะเร็งตับสูง
3ภาวะตับแข็ง? พบว่าผู้ป่วยมะเร็งตับมากกว่าร้อยละ 80 มีภาวะนี้ร่วมด้วย โดยสาเหตุที่นำไปสู่ภาวะตับแข็งได้แก่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์, ภาวะไขมันเกาะตับ, การใช้ยาบางชนิด, สารเคมี, การติดเชื้อไวรัส เป็นต้น

4 การสูบบุหรี่
5 โรคอ้วน หรือภาวะการขาดสารอาหาร
6 โรคเบาหวาน
7 การใช้สารสเตียรอยด์ หรือฮอร์โมนเพศชาย

8 การบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อนของสาร Aflatoxin ซึ่งผลิตจากเชื้อราในอาหารพวก ข้าวโพด ถั่ว พริกแห้ง

สำหรับวันนี้ทีมงาน มะเร็งมดลูก นำฝากแค่นี้ก่อนครับ ส่วนบทความสุขภาพ ชุดหน้าจะสำเนื้อหาเกี่ยวกับมะเร็งตับ ในส่วน การรักษา และหัวข้ออื่นๆที่เกี่ยวข้องมาฝากคับ ผมขอบคุณบทความจาก คลับคนสู้มะเร็งด้วยครับผม

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

รู้จักมะเร็งมดลูก กันไหมเอ่ย ?

ภาพตัวอย่างมะเร็งมดลูก


สวัสดีครับ พี่น้องผู้อ่านผู้ฟังทุกท่าน วันนี้ขอประเดิมบทความแรกของ Blog นี้ด้วยเรื่องเกี่ยวกับมะเร็งมดลูก เผอิญโดยส่วน

ตัวผู้เขียน Blog ได้มีโอกาส รับรู้รับฟังเกี่ยวกับตัวมะเร็งมดลูกมาบ้างและได้มีโอกาศได้สัมผัสกับกลุ่มคนป่วยที่เป็นมะเร็งมดลูกมาแล้วด้วย ทำให้รู้สึกว่า ประชากรบ้านเมืองเราไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับเจ้าโรคนี้เท่าไหร่ ซึ่งก็อดห่วงไมได้ครับว่าอนาคต จะเป็นอย่างไร มาดูกันครับว่าเราๆท่านๆรู้จักเจ้าโรค มะเร็งมดลูก หรือเรียกๆกันว่า มะเร็งปากมดลูก กันมากเท่าไหร่
ซึ่งถ้าหากพูดถึงโรคมะเร็งปากมดลูกท่านผู้อ่านคงรู้จักกันดีเลยเคยได้ยิน ซึ่งข่าวเกี่ยวกับมะเร็งมีออกข่าวออกสื่อให้เราได้พบเห็นทุกวันซึ่งคงจำกันได้ข่าวเมื่อไม่นานมานี้ ที่นางเอกฮอลลีวู๊ดชื่อดังเป็นมะเร็งเช่นกันแต่เป็นคนละอวัยวะกับทางทีมงานบทความสุขภาพจะได้นำเสนอในวันนี้ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ วันนี้ทางทีมงานบทความสุขภาพ อยากนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ การป้องกันมะเร็งปากมดลูกครับ ผมเชื่อว่าหลายๆท่านคงสงสัยว่า เจ้ามะเร็งปากมดลูกนี้สามารถป้องกันได้หรือไม่ หลังจากสงสัยและได้หาข้อมูลอยู่ระยะหนึ่งก็พบจากหลายๆสื่อหลายบทความ สรุปว่า มะเร็งปากมดลูกป้องกันได้โดยการตรวจหาความผิดปกติของปากมดลูกซึ่งจะต้องตรวจติดตามอย่างต่อเนื่องสำหรับเพศหญิงอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป สบายใจกันไปนิดหนึ่งใช่ไหมคับอย่างน้อยเราก็รู้ว่าป้องกันได้แน่นอน (ฝากนิดหนึ่งครับ สำหรับสาวๆ 35 ปีขึ้นไปสามารถติดต่อขอตรวจความผิดปกติของปากมดลูกได้ที่ รพ.สต. และ รพ. ใกล้บ้านท่านได้ครับ ไม่ต้องอายครับ)
        มาดูสาเหตุกันครับว่าเจ้ามะเร็งปากมดลูกเกิดขึ้นได้อย่างไร เจ้ามะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อ HPV ครับ จากการมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสตรีที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย หรือมีคู่นอนหลายคน(ความคิดเห็นส่วนตัวผมว่าอนาคตข้างหน้าโรคนี้จะมีมากขึ้นครับด้วยสภาพแวดล้อมและสภาพสังคมเดียวนี้ วัยรุ่นไทยมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อยตามข่าวที่ได้เห็นกัน น่าเป็นห่วงจริงๆเล้ย) แต่ใช่ว่าคนที่ได้รับเชื้อ HPV แล้วจะเห็นอาการของโรคเลย โดยโรคนี้จะค่อยๆแสดงอาการโดยใช้เวลา 10-15 ปี โดยในช่วงเวลานี้เชื้อ HPV จะเริ่มเปลี่ยนแปลงมดลูกไปเรื่อย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าครับ สาเหตุหลักๆคงมีเพียงเท่านี้คับผม
        ต่อไปก็มาดูการตรวจหาความผิดปกติของปากมดลูกและการรักษาความผิดปกติ
การตรวจหาความผิดปกติของปากมดลูกนั้นมีหลายวิธีมากครับ วิธีที่ใช้กันมาตั้งแต่ดั้งเดิมคือ Pap smear ณ ตอนนี้ก็ยังใช้อยู่ครับผม คือการนำเซลล์ของปากมดลูกไปตรวจย้อมเชื้อหาความผิดปกติของปากมดลูก เมื่อพบความผิดปกติก็จะแจ้งให้สตรีผู้นั้นทราบและให้มาตรวจปากมดลูกซ้ำ โดยการใช้น้ำส้มสายชู 3-5 เปอร์เซ็นต์ป้ายที่ปากมดลูก แล้วใช้กล้องส่องขยายจะเป็นความผิดปกติของปากมดลูกได้ชัดเจน และตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ  จึงจะนำไปรักษาความผิดปกติของของปากมดลูก โดยวิธีจี้เย็น หรือตัดปากมดลูกเป็นกรวย ตามแต่ขนาดของความผิดปกติที่ได้พบ การตรวจหาความผิดปกติของปากมดลูก โดยวิธี Pap smear จะใช้เวลาค่อนข้างนานครับคือ 1-2 เดือน จึงจะทราบผล และใช้เวลาอีกกว่า 1-2 เดือน กว่าจะได้รับการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีที่อยู่ในชนบท ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และเสียเวลาในการทำมากิน
       
 การเตรียมตัวก่อนมาตรวจความผิดปกติของปากมดลูก
        1. หลังประจำเดือนหมด 7 วัน
        2 งดเหย็บยา 4-5 วัน
        3 งดมีเพศสัมพันธ์ 2-3 วัน
การปฏิบัติตัวหลังจากได้รับการจี้เย็น    
        1. จะมีตกขาวมากกว่าปกติ จนอาจต้องใช้ผ้าอนามัย เป็นเวลา 3-4 อาทิตย์
        2. งดการมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลา 2-3 สัปดาห์
        3 ถ้ามีการปวดท้องน้อยให้รับประทานยาแก้ปวด
        4 ถ้ามีเลือดออกซึ่งไม่ใช่ประจำเดือน มีไข้ มีตกขาว มีกลิ่นหรือมีการปวด  ท้องน้อยมาก ให้รีบพบแพทย์เน้ออย่าปล่อยไว้ครับ
บุคคลที่ควรได้รับการตรวจ
        1 มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
        2 มีคู่นอนหลายคน
        3 แต่งงานแล้ว
        4 มีบุตรหลายคน
        5 สูบบุหรี่หรือมีคนใกล้ชิดสูบบุหรี่
        6 ไม่มีอาการผิดปกติ
        7 อายุ 30 ปีขึ้นไป

สุดท้ายหวังว่าบทความ แรกของ blog แห่งนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับท่านผู้อ่านที่ได้หลงเข้ามาหนะครับ